" สถานการณ์ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2012 ในต่างประเทศ " โดยอ้างอิงข้อมูลองค์จากการอนามัยโลก เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2555 พบผู้ป่วยติดเชื้อ 2 ราย ในจำนวนนี้ เสียชีวิต 1 ราย โดยเป็นผู้ป่วยชายชาวกาตาร์ และผู้ป่วยชาวซาอุดิอาระเบีย ซึ่งผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการยืนยันการพบเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ทั้งสองราย ณ วันที่ 25 กันยายน 2555 และไม่พบรายงานผู้ป่วยเพิ่มเติม สำหรับประเทศไทย “ยังไม่พบ” การแพร่ระบาดของโรค
โรคติดเชื้อโคโรน่า
เชื้อไวรัสโคโรน่า (CoVs) เป็นไวรัสชนิดอาร์เอ็นเอสายเดี่ยว (single stranded RNA virus) ใน Family Coronaviridae มีรายงานการพบเชื้อมาตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1965 โดยสามารถติดเชื้อได้ทั้งในคนและ สัตว์ เช่น หนู ไก่ วัว ควาย สุนัข แมว กระต่าย และสุกร ประกอบด้วยชนิดย่อยหลายชนิดและทำให้มีอาการ แสดงในระบบต่างๆ เช่น ระบบทางเดินหายใจ (รวมถึงโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือซาร์ส; SARS CoV) ระบบทางเดินอาหาร ระบบประสาท หรือระบบอื่นๆ ระบาดวิทยาของเชื้อ : เชื้อไวรัสโคโรน่า (CoVs) พบได้ทั่วโลก โดยในเขตอบอุ่น (temperate climates) มักพบเชื้อในช่วงฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ
อ่านเพิ่มเติม>>
การติดเชื้อ :
อาจทำให้เกิดอาการในระบบ ทางเดินหายใจส่วนบนได้ถึงร้อยละ 35 และสัดส่วนของโรคไข้หวัดที่เกิดจากเชื้อโคโรนาไวรัสอาจสูงถึงร้อยละ 15 การติดเชื้อพบได้ในทุกลุ่มอายุ แต่พบมากในเด็ก อาจพบมีการติดเชื้อซ้ำได้ เนื่องจากระดับ ภูมิคุ้มกันจะลดลงอย่างรวดเร็วภายหลังการติดเชื้อ สำหรับการติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือ ซาร์ส (SARS CoV) พบการระบาดปี พ.ศ. 2546 โดยพบเริ่มจากประเทศจีนแล้วแพร่กระจายไปทั่วโลก พบรายงานผู้ป่วยโรคซาร์สทั้งสิ้นมากกว่า 8, 000 ราย และเสียชีวิตมากกว่า 750 ราย
อาการการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ (Respiratory Coronaviruses) :
ไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ มีน้ำมูก เจ็บคอ ไอ โดยในทารกที่มีอาการรุนแรง อาจมีลักษณะของปอดอักเสบ (Pneumonia) หรือ หลอดลมฝอยอักเสบ (Bronchiolitis) ในเด็กโตอาจมีอาการของหอบหืด (Asthma) ส่วนในผู้ใหญ่ อาจพบลักษณะปอดอักเสบ (Pneumonia) หลอดลมอักเสบเรื้อรัง (Chronic bronchitis)
การติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือซาร์ส (Severe Acute Respiratory Syndrome; SAR CoV) :
ไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย หรืออาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ แล้วมีอาการไอ และ หอบเหนื่อยอย่างรวดเร็ว ซึ่งอัตราตายจะสูงขึ้นในผู้ป่วยสูงอายุ หรือมีโรคประจำตัว
การติดเชื้อโคโรน่าไวรัสในระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal Coronaviruses) มักพบบ่อยในเด็ก แรกเกิด และทารกอายุน้อยกว่า 1 ปี หรืออาจพบในผู้ใหญ่ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยพบเชื้อได้แม้ผู้ป่วย ไม่แสดงอาการ และไม่มีฤดูกาลการเกิดโรคที่แน่นอน
ระยะฟักตัวของโรค :
โดยเฉลี่ยประมาณ 2 วัน ( อาจมีระยะฟักตัวนานถึง 3 – 4 วัน) สำหรับโรคซาร์สอาจ ใช้ระยะฟักตัว 4 – 7 วัน
( อาจนานถึง 10 – 14 วัน)
วิธีการแพร่โรค : แพร่กระจายเชื้อจากการสัมผัส (Contact) กับสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ หรือ แพร่กระจายเชื้อจากฝอยละอองน้ำมูก น้ำลาย (Droplet) จากผู้ป่วยที่มีเชื้อโดยการ ไอ หรือจาม
รักษาได้หรือไม่ ยังไม่มีการรักษาจำเพาะ ใช้การรักษาแบบประคับประคอง
มีวัคซีนป้องกันหรือไม่ ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน
การป้องกัน :
ออกกำลังกายสน่ำเสมอและพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบ 5 หมู่ ไม่คลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วย แนะนำให้ผู้ป่วยใส่หน้ากากอนามัย ปิดปากปิดจมูกเวลา ไอ หรือจาม ควรล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากผู้ป่วย ก่อนรับประทานอาหาร และหลังขับถ่าย ควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่แออัด หรือที่ชุมชนสาธารณะที่มีคนอยู่เป็นจำนวนมาก เพื่อลดความ เสี่ยงในการติดโรค
( อาจนานถึง 10 – 14 วัน)
วิธีการแพร่โรค : แพร่กระจายเชื้อจากการสัมผัส (Contact) กับสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ หรือ แพร่กระจายเชื้อจากฝอยละอองน้ำมูก น้ำลาย (Droplet) จากผู้ป่วยที่มีเชื้อโดยการ ไอ หรือจาม
รักษาได้หรือไม่ ยังไม่มีการรักษาจำเพาะ ใช้การรักษาแบบประคับประคอง
มีวัคซีนป้องกันหรือไม่ ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน
การป้องกัน :
ออกกำลังกายสน่ำเสมอและพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบ 5 หมู่ ไม่คลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วย แนะนำให้ผู้ป่วยใส่หน้ากากอนามัย ปิดปากปิดจมูกเวลา ไอ หรือจาม ควรล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากผู้ป่วย ก่อนรับประทานอาหาร และหลังขับถ่าย ควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่แออัด หรือที่ชุมชนสาธารณะที่มีคนอยู่เป็นจำนวนมาก เพื่อลดความ เสี่ยงในการติดโรค
ถ้าต้องเดินทางไปร่วมพิธีฮัจจ์ ต้องปฏิบัติตัวอย่างไร
ก่อนเดินทาง
WHO ยังไม่จำกัดการเดินทาง ดังนั้นต้องเตรียมร่างกายให้พร้อม เน้นการรักษาสุขอนามัย เช่นการล้างมือ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคตามที่ประเทศซาอุดิอาระเบียกำหนด เช่น วัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น ไข้หวัดใหญ่
WHO ยังไม่จำกัดการเดินทาง ดังนั้นต้องเตรียมร่างกายให้พร้อม เน้นการรักษาสุขอนามัย เช่นการล้างมือ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคตามที่ประเทศซาอุดิอาระเบียกำหนด เช่น วัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น ไข้หวัดใหญ่
ระหว่างอยู่ในประเทศ
หลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจ หรือผู้ที่มีอาการไอ จาม หลีกเลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่แออัด ล้างมือบ่อยๆ หากมีอาการคล้ายไข้หวัด เช่นไอ จาม มีไข้ ให้ใส่หน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้อื่น
หลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจ หรือผู้ที่มีอาการไอ จาม หลีกเลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่แออัด ล้างมือบ่อยๆ หากมีอาการคล้ายไข้หวัด เช่นไอ จาม มีไข้ ให้ใส่หน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้อื่น
หลังกลับมาในประเทศไทย
สังเกตอาการผิดปกติอีก 10 วันหลังเดินทางกลับ หากมีไข้ ไอ เจ็บคอ ควรพักผ่อนอยู่บ้าน หากอาการไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์
สังเกตอาการผิดปกติอีก 10 วันหลังเดินทางกลับ หากมีไข้ ไอ เจ็บคอ ควรพักผ่อนอยู่บ้าน หากอาการไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์
ข้อมูลจาก : สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น